บทสัมภาษณ์ จักรพันธุ์ โปษยกฤต เมื่อปี 2533
นิตยสาร ไปยาลน้อย ฉบับที่ 37 เมษายน 2533

- อยากทราบว่าช่วงอาจารย์เป็นวัยรุ่น เขาฮิตเรื่องอะไรกันบ้าง
        มันนานมาแล้ว มีหลายยุคหลายสมัย ยุคกางเกงขาบานนั่น ผมก็ไม่วัยรุ่นแล้ว โตแล้ว เขาจะใส่กางเกงขาบาน ผู้ชายไว้ผมยาว ใส่เสื้อคับๆ ใส่รองเท้าใหญ่เป็นครก ตอนนั้นผมอายุยี่สิบกว่าๆ ช่วงเป็นวัยรุ่นจริงๆ นี่ผมอยู่โรงเรียนประจำ มันไม่ค่อยได้ออกมาเห็นโลก ผมออกจากโรงเรียนประจำตอนอายุ 17 กว่าๆ พอ 19 ก็เข้ามหาวิทยาลัย ปี 1

- อาจารย์ใส่กางเกงขาบานตามเขาไหม
        มันก็ตามบ้าง แต่ผมช้าอยู่เสมอ กว่าเราจะไปตัดมา เขาก็เลิกใส่แล้ว พอตัดมามันกลายเป็นน่าเกลียดไป ผมก็เลยยกให้คนอื่น

- ไม่ค่อยทันแฟชั่น
        ไม่ทัน แต่จะเรียกว่าไม่ตามเลยก็ไม่ได้ เราไม่ขนาดต่อต้านว่าไม่ตามแฟชั่น ก็ตามๆ เหมือนกันแหละ สมัยเขาใส่รองเท้าหัวตัดน่ะ ผมยังมีเลย สวยเชียว แต่ใส่ได้แผล็บเดียว เข็มขัดใหญ่ๆ ผมก็ยังมีอยู่ เก็บไว้เผื่อมันจะกลับมา

- ทรงผมล่ะครับ
        ก็มีไว้ผมยาว ผมเคยไว้ แต่ไม่ใช่ยาวมากนะ ตอนนั้นอายุประมาณ 26-27 จบมหาวิทยาลัยแล้ว ไม่ใช่วัยรุ่นแล้ว ตอนที่เป็นวัยรุ่นจริงๆ อายุ 19-20 นี่ผมยังเรียนอยู่เลย เรียนอยู่คณะจิตรกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร ไม่ได้ทำอะไร เพราะมีงานหนักมากสมัยก่อน ถ้าเรียน 3 ปีแล้วเกรดไม่ถึง ก็จบไปแค่อนุปริญญา เพราะฉะนั้นเราก็เรียนอย่างเดียว มีก็แค่ดูหนังดูละครแถวนั้น

- คือเอาให้จบ
        เราอยากจะเรียนให้สูงที่สุด ให้ได้ต่อถึงปี 4 ปี 5 ถ้าทำไม่ได้ ได้แค่อนุปริญญา จบไปเป็นครู ซึ่งผมไม่อยากเป็น

- นักร้องดังสมัยอาจารย์ 18-19 นี่ "เอลวิส เพรสลี่ย์" หรือเปล่า
        เอลวิสนี่ตั้งแต่สมัยผมอยู่วชิราวุธแน่ะ อายุประมาณ14-15 เดี๋ยวนี้ผมก็ยังชอบฟังเอลวิสอยู่เลย แต่ไม่ได้ชอบทุกเพลง อาจเป็นเพราะตอนนั้น เป็นวัยที่เรากำลังตูมบานขึ้นมา กำลังตูมบานก็ประทับใจ

- รู้สึกเขาจะเป็นอมตะ
        อมตะ ผมรู้สึกว่าเค้าเป็นอมตะ แล้วอะไรรู้ไหม ผมอายุขนาดนี้แล้ว คนมองผมเป็นพวกตัวอนุรักษ์ นึกออกไหม ตัวอนุรักษ์ศิลปะไทย เพื่อนรุ่นหลังๆ พอผมบอกว่าชอบฟังเพลงเอลวิสนี่ ตกกะใจเลย เอ้า ทำไมผมจะไม่ชอบ ในเมื่อผมเกิดมาในวัยที่เอลวิสกำลังดังนี่ และอีกหลายคนนะ ริกกี้ เนลสัน โอ๊ย เยอะแยะ เค้าตกใจกัน นึกว่าผมเป็นตัวอนุรักษ์ ต้องไม่รู้จักเอลวิส ผมบอกไม่ใช่เลย ชอบ

- เดี๋ยวนี้ยังฟังเพลงของนักร้องต่างประเทศไหม
        เปล่าเลย เห็นไหมฮะ มันเปลี่ยนไปแล้ว เพราะเมื่อเด็กๆ ผมอยู่โรงเรียน เพื่อนเปิดบ้างอะไรบ้าง มันได้ยิน มันอยู่ในสังคม แล้วอีกอย่าง ที่โรงเรียนเค้ามีการเอาหนังมาฉายให้ดู บางครั้งก็เอาหนังเอลวิสมาฉาย เราก็ได้ดู ในโลกแคบๆ ของเด็กน่ะ มันมีเทพบุตรอยู่แล้วล่ะ คือเอลวิสนี่ สมัยนี้เราแก่แล้ว เราไม่มีเวลามานั่งฟัง วิทยุผมยังไม่เปิดเลย ก็ไม่ได้ฟัง มีเล็ดๆ มาบ้างแล้วก็เลือนไป มันไม่เหมือนเมื่อก่อน ที่เราฟังซึ้งไปกับเขาด้วย

- ไม่ทราบว่าได้ดูความเคลื่อนไหวของวัยรุ่นสมัยนี้หรือเปล่า
        มันก็เห็นผ่านๆ

- รู้สึกอย่างไรบ้าง ฝรั่งจ๋าเกินไปไหม
        ไอ้ฝรั่งนี่ มันฝรั่งกันมาตั้งแต่รัชกาลที่ 5 แล้ว ฝรั่งมันเริ่มเข้ามา แล้วคนไทยก็ดัดจริตทำฝรั่ง ไม่ฝรั่งไพร่ก็ฝรั่งผู้ดี ปนๆ กันไป ทีนี้ถ้าเราดูวันรุ่นสมัยนี้ ผมไม่ได้ไปศูนย์การค้า ไม่ได้ไปมาบุญครอง สวนจตุจักรผมไม่เคยไป อยู่อีกโลกหนึ่ง ที่เห็นก็ในหนังสือพิมพ์ ทีวี มิวสิควิดีโอ เห็นแล้วก็.... เอาเหอะ มันก็คงทำอยู่ช่วงหนึ่งที่เป็นเด็ก จะเหมาะสมไม่เหมาะสมมันไม่รู้จักนะ ทำเปิ่นทำบ้าบอน่าเกลียดน่าชัง ผมไม่ขวาง
ถ้าถามว่าชอบไหม ก็ไม่ชอบนะ เห็นแล้วมันน่าเกลียดเหมือนกัน อย่างในโทรทัศน์ที่เคยเห็น บางทีให้วัยรุ่นมานั่งสุมกันอยู่ตรงบันได โพกหัวโพกเหอ มานั่งเท่กับกระได ซบกันเอย อะไรต่างๆ แล้วมีเปิดไอ้โคล่ากระป๋องใส่หน้ากัน แล้วก็ง้อกันดีกัน แบบ... ซึ่งเราเคยเห็นแล้วนะ ของพวกนี้ ไม่ใช่ของแปลกเลย เมื่อนานแล้วผมไปเมืองนอก เมื่ออายุยี่สิบกว่าๆ ก็เห็นฝรั่งมันทำอย่างนี้ มั่วสุมอยู่ตามกระได เมืองไทยนี่ล้าสมัยกว่าเค้าตั้งเป็นสิบๆ ปี เราเลยไม่ตื่นเต้น แต่ถ้าเห็นฝรั่งทำ เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่โคตรเดียวกับเรา เราไม่รู้สึกอะไร แต่เด็กไทยทำรู้สึก โถ... รู้สึกเวทนาน่ะนะ รู้สึกเรารักเค้าเกินกว่าที่จะไปว่าอะไร ไม่อยากให้เค้าทำแบบนี้ แต่ไม่ได้ด้วยความชังนะฮะ ได้แต่นึกว่ามันไม่สวยนะ ที่ออกมาแพร่ภาพทางสื่อมวลชน แต่อีกใจก็นึกลำเอียงว่า มันก็คงจะช่วงสั้นๆ แก่กว่านี้อีกนิดเท่านั้น มันก็ทำไม่ได้แล้ว

- ไม่กล้าทำ
        มันจะอาย กลายเป็นตาแก่หรือยายแก่ทำ ทีนี้เมื่อเป็นดอกไม้บานก็ทำไป อย่าให้ถึงขนาดเหลวไหลเละเทะ เด็กฉลาดก็คงจะทำแล้วเลิกไปเอง คือเราลำเอียง เรายังรักคนไทย ถ้าถามว่านึกยังไง ก็ไม่นึกอะไรมากหรอก ไม่ถึงกับเขียนหนังสือหรือว่าอะไร

- แต่อาจารย์เคยเขียนเรื่องอุทานว้าวเวิ้ว
        ก็หมั่นไส้ (หัวเราะ) มันหมั่นไส้นี่ ไม่ใช่เด็กแล้ว แก่ๆ นี่ยังว้าวเลย ใช่ไหมฮะ ผมนั่งอยู่บ้านแล้วมีโทรศัพท์มา อะฮื้ออะฮ้าใส่ผม ผมก็ว่าไป

- วัยรุ่นกับเซ็กส์ที่เปิดเผยกันมากขึ้น
        ผมไม่ไปรู้เรื่องในมุ้งของเขาน่ะนะ ไม่ได้ไปแอบดู เรื่องกอดเกิดก็ไม่เคยเห็นด้วยตา เพราะไม่ได้ไปไหน เราอยู่แต่ในบ้าน

- บางทีก็กอดกันตรงป้ายรถเมล์ บนรถเมล์
        ผมไม่เคยนั่งรถเมล์นี่ (หัวเราะ) สิบยี่สิบปีแล้ว ทีนี้พูดถึงว่า ถ้าเค้าทำกันนี่ ผมก็ไม่รู้ว่าจะไปโทษใคร มันก็เปลี่ยนไป แหมญี่ปุ่นเค้ายิ่งกว่าเรา ใช่ไหมฮะ ช่างแม่มัน ผมก็ไม่รู้จะไปว่าอย่างไร ก็คงจะเกิดจากอะไรหลายอย่างนะ เห็นผู้ใหญ่ทำ สื่อสารมวลชนวิทยุหนังเหนิงทำ เด็กมันก็อยากทำมั่งซิ ไปโทษมันได้ไง ถ้าไม่มีให้เห็นมันก็ไม่กล้าทำ อยู่ที่คนทำน่ะ ถ้ามีสติปัญญารู้ว่าไม่ควร ก็คงไม่ทำ
        อย่างที่บ้านผมนี่นะฮะ สมมุติมีเด็กมากรี๊ดกร๊าด ขยี้หัวกัน วิ่งไล่ตีหยอกกัน ถ้าว่าได้ผมจะว่า... นี่หยุด ไปทำที่อื่น อย่ามาให้ฉันเห็น แต่ถ้าว่าไม่ได้ผมก็ไม่ไปว่าเค้า แต่ไม่ค่อยมีใครกล้าทำให้ผมเห็นหรอก (หัวเราะ) กลัวผมเอาน้ำสาด คือผมไม่ชอบ มันไม่สวย ดูไม่มีราคา พูดถึงคนแสดงความรักกัน มาทำอย่างนี้มันกลายเป็นของโบ๊เบ๊น่ะ

- เด็กรุ่นอาจารย์นี่มีกรอบเยอะเลยใช่ไหม
        ก็มีนะฮะ เรียกว่าวัฒนธรรมก็ได้ วัฒนธรรมหรือมรรยาทอะไรอย่างนี้ ซึ่งผมว่าเป็นสิ่งที่ควรจะมี ถ้าไม่มีวัฒนธรรม มันก็เหมือนสัตว์น่ะ วิ่งกอดกันอย่างนี้นะ วัฒนธรรมนี่ผมว่า มันยังความภูมิใจให้กับเราคนไทย พูดถึงในสังคมรุ่นผมนี่ เด็กศิลปากรนี่เรียกว่าเปรี้ยวสุดแล้ว มานึกดูเดี๋ยวนี้ไม่เปรี้ยวเลย

- ที่ว่าเปรี้ยวนี่อย่างไรครับ
        ก็เป็นแบบศิลปิน เป็นช่างเขียนไงฮะ ก็มีสิทธิ์ที่จะทำตัวเป็นศิลปิน อาจจะทำอะไรเปรี้ยวๆ ตามใจตัวเอง จุฬาฯ เค้าเรียบร้อย ธรรมศาสตร์เค้าก็หนักวิชาการ ศิลปากรนี่นั่นๆ หน่อย แต่เมื่อก่อน ปี 1 ก็ต้องแต่งเครื่องแบบ ต้องใส่ถุงเท้านะ เดี๋ยวนี้ไม่ เค้าเชิญผมไปเล็คเชอร์ ผมเห็น เด็กมหาวิทยาลัยศิลปากร แต่งตัวกันตามสบายกว่าสมัยผม โลกมันเปลี่ยนไป ก็ไม่ได้ขวางอะไร เห็นแล้วก็เออ... ดีนะ ปี 1 ไม่ต้องแต่งเครื่องแบบก็ได้ ผู้หญิงก็แต่งตัวเปิ๊ดสะก๊าด สมัยก่อนไม่ได้ จะได้ก็ต่อเมื่อวันเสาร์อาทิตย์ ทำวิชาปั้นน่ะ ถึงจะนุ่งกางเกง

- การที่เรามีอายุเพิ่มมากขึ้น ทำให้เราได้สะสมประสบการณ์ดีๆ ไหม
        ทั้งดีทั้งเลวแหละ ปนกันไป เลวด้วย ทำไมหรือ

- คือบางคนเจอปัญหาก็ท้อ อะไรทำนองนี้
        โอ๊ย ไม่เคยท้อเลย บ่นแต่ไม่ท้อนะ ผมก็บ่นไป อย่างคุยกับลูกศิษย์นี่ก็บอก ยิ่งแก่ยิ่งรู้สึกว่า คนในโลกนี้มันเล้วเลว พอตายจะเหลือเราคนเดียว ดีที่สุดในโลก พูดเล่นกันนะฮะ ก็มีเจออะไรที่มันเหลวไหลเลวเกว เป็นประสบการณ์ที่เลว บางทีก็เจอประสบการณ์ที่ดีมากๆ อย่างที่ไม่เคยเจอ มันทดกันไป จะว่าเจอแต่ดีอย่างเดียวไม่ได้ แต่มันไม่ทำให้เราท้อหรอก มันดีซิ เราจะได้รู้

- กับคนที่ชอบท้อแท้ มีอะไรจะแนะนำไหม
        ไม่ควรจะท้อเลย ผมเจอจะเอาน้ำสาด ผมไม่ชอบคนท้อแท้ คือมีได้นิดเดียว ให้ท้อได้วันนึงสองวัน แล้วควรจะรีบเลิกเลย คือถ้าจะรำคาญ เซ็ง หยุดซักแป๊บนะครับ แล้วควรจะขจัดให้หมด ไม่ใช่ท้ออยู่นั่น เป็นข้อแก้ตัวมากกว่า ที่จริงอาจจะขี้เกียจก็ได้

- ถ้าเป็นอาจารย์จะเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น
        ฮื่อ เปลี่ยนไปเลย ผมไม่เซ็งอยู่นาน เรื่องจะไม่เคยเซ็งไม่เคยท้อเลยนี่ ก็จะอวดตัวว่าวิเศษ เราก็มีบ้าง แต่มันไม่นานหรอก คนที่เป็นอย่างนี้ ผมว่าเป็นอารมณ์ที่ไม่ควรเก็บไว้ รีบเลิกแล้วเปลี่ยนเครื่องรับเลย ถ้าเกิดท้ออยู่นาน แสดงว่าเราผิดปรกติแล้ว เราต้องเป็นคนขี้เกียจ หรือไม่มีความสามารถอะไร คือหาเรื่องท้อมาแก้ตัว คนเราไม่ควรท้อหรืออกหัก หรือผิดหวังอะไรกันอยู่มากมาย

- เคยมีคนมาปรึกษาเรื่องทำนองนี้กับอาจารย์ไหม
        เดี๋ยวนี้ไม่มีเลย เพราะเขารู้ว่ามาแล้วจะผิดหวังกลับไป จะไม่ปลอบใจเค้า เมื่อก่อนนี้นานแล้ว ผมอายุ 27-28 ตอนนั้นไปเขียนรูปวัดพระแก้ว ก็มีเด็กรุ่นน้องสองคนเขาเป็นแฟนกัน ผมก็รู้จักทั้งสองฝ่าย แล้วผู้หญิงก็เลิกไปมีแฟนใหม่ ผู้ชายก็ถอดรองเท้าเดินตีนเปล่า แบบอาดูรมาก มันเด็กน่ะนะฮะ ถอดรองเท้าปล่อยผมกระเซอะกระเซิง แต่งชุดขาว มาบอกเด็กผู้หญิงทิ้งผมไปแล้ว ผมก็บอกดีแล้ว
        ผมเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่ดัดจริตอ้อมค้อม ก็บอก โธ่เอ๋ยคุณ... คุณนี่หาแฟนยาก ที่เค้าทิ้งไปนั่นมันธรรมดา เพราะคุณนี่อยู่กินก็ไม่เรียบร้อย มีข้อบกพร่องน่าตำหนิอะไรสารพัด เขาโกรธผม เลยเลิกอกหักมาโกรธผมแทน (หัวเราะ) นึกแล้วก็ยังขำ แต่มันนมนานกาเล จนเดี๋ยวนี้ ยายเด็กผู้หญิงนั่นมีลูกกี่คนแล้วก็ไม่รู้

- ประเภทขี้เหงา จะแนะนำอย่างไร
        ผมไม่เหงานี่

- เขาว่าศิลปินขี้เหงา
        ศิลปินบ้าอะไร... ไม่ มีงานทำเยอะแยะจะเหงาอะไร ผมว่าคนเราไม่น่าจะเหงา มันมีกิจกรรมเยอะเลยที่จะทำ ไม่ว่างานอาชีพงานอดิเรก คนเหงานี่พวกต้องการความอบอุ่นน่ะ จะให้คนมาใส่ใจมาอาทร

- รู้สึกอาจารย์จะสดชื่นตลอดเวลา
        ไม่ตลอดเวลาหรอก บางเวลามันก็เหี่ยว ไอ้ที่เหี่ยวนี่มันไม่ใช่อะไร มันเหี่ยวด้วยสุขภาพด้วยสังขาร เพราะผมอายุ 46 แล้ว มันเจ็บหลังเจ็บไหล่ สังขารเราเสื่อมแล้ว แต่ไอ้ใจเรานี่ โถ... ยังยืนกินไอติมอยู่เลย คือบ่ายๆ ผมนอนตื่นขึ้นมา ก็อยากกินขนม เหมือนเราเป็นเด็กน่ะ เด็กๆ เรานอนตอนบ่ายๆ ตื่นขึ้นมาก็ร้องโยเยอยากกินขนม นี่พอตื่น เสียงไอติมดังมาปิ๊นๆ ดังลั่น เรากระวีกระวาดเลย ให้เด็กวิ่งไปซื้อไอติมมา แล้วมายืนกิน ไอ้บิ๊กดิ๊บ ผมยืนพิงตู้กิน มันสดชื่น เหมือนเราเป็นเด็กแต่เป็นเด็กแก่ คือใจเราเหมือนเด็ก

- ที่เขาเรียกว่า ยังก์ แอท ฮาร์ท
        คงอย่างนั้น มันก็สนุกดีกินไอติม เพราะเมื่อเด็กๆ ผมไม่เคยนะ ไม่เคยวิ่งซื้อมะยมดองหรือไอติมเจ๊ก พ่อแม่เลี้ยงมาอีกแบบ อยู่ในกฎระเบียบวินัย แล้วผมก็อยู่โรงเรียนประจำ กลับบ้านตอนปิดเทอมสองเดือน ก็ไม่เที่ยววิ่งซื้อของ

- ทำกินเองที่บ้าน
        ฮะ ทางบ้านเค้าก็ซื้อมา แต่ตอนนี้เราแก่ เรานึกจะทำอะไรก็ได้ เราก็ให้เด็กวิ่งไปซื้อให้ แทนที่จะไปซื้อเอง (หัวเราะ) อยากวิ่งไปเกาะรั้วเหมือนกัน แต่มันไม่ไหวแล้ว

- ชอบขนมถ้วยไหมครับ
        ชอบที่สุด ชอบที่สุดเลย เมื่อก่อนไม่เคยกิน คือผมไม่ซื้อขนมตามหาบว่างั้นเถอะ ตอนหลังนี่ใครไปไหนก็ซื้อมาให้ผมกิน ผมช้อบชอบ ขนมกรวยก็ชอบ ขนมครกก็ชอบ... ผมยังชอบของพวกนี้อยู่ มีความสุขมาก

- ถ้าเป็นของฝรั่งอย่างแฮมเบอร์เกอร์
        แฮมเบอร์เกอร์ผมไม่เคยกิน ผมไม่เคยออกไปไหน เพราะฉะนั้นก็ไม่กิน

- เวลาไปเมืองนอก
        ก็ต้องกิน เคยกินแต่นานนมเน มันต้องอ้าปากกว้างด้วย ผมปากเล็ก ไปเมืองนอกคงกินนะครับ แต่อยู่เมืองไทย อยู่ดีๆ จะให้บากบั่นไปกินแฮมเบอร์เกอร์ ผมไม่เคย ส่วนมากขนมฝรั่งจะมีคนซื้อให้ เชื่อไหม ผมนี่มีคนซื้อขนมมาให้ม้ากมาก

- อาจารย์ไม่กลัวอ้วน
        ไม่กลัว เพราะผมไม่กินเยอะ และผมก็แจกคนอื่นไปบ้าง คนที่เมตตากรุณาเราน่ะเค้าซื้อมาให้ ผมไม่เคยอดเลย เด็กเค้าบอกทำบุญไว้ดี มีสปอนเซอร์อยู่เรื่อย เหมือนศาลพระภูมิ กับข้าวก็มีคนเอามาให้ เพราะทุกคนรู้ว่า พอแม่ผมเสีย บ้านผมไม่มีแม่บ้าน ไม่มีเมีย พี่ชายก็ไม่แต่งงาน สมุนผู้หญิงที่อยู่ในบ้านก็เป็นเด็กๆ ทำกับข้าวได้แต่ไม่เก่งมาก เพราะฉะนั้นผู้ใหญ่ที่เมตตา ก็จะให้ของรับประทาน คุณน้อย (นันทวัน) หยุ่นนี่นะ จะต้องทำกุ้งทอดรากผักชีกระเทียมพริกไทย ทำนู่นทำนี่มาให้

- อาจารย์กินง่ายไหมครับ
        ผมกินง่าย แต่จะว่ายากก็ยาก คือถ้าไม่อร่อยผมไม่กิน จะบอกว่าวันหลังไม่ต้องเอามาให้อีกนะ ส่วนมากคนที่เอามาให้ ก็จะรู้ใจกัน เอาของที่ชอบมาให้ จะส่งของพิเศษจากโรงแรมรีเจนท์อะไรอย่างนี้ โอ๊ย อุดมสมบูรณ์มากเรื่องของกิน ซึ่งเมื่อเด็กๆ อยู่โรงเรียนประจำ อดเหมือนเปรตจริงๆ อยู่วชิราวุธนี่กับข้าวก็ไม่อร่อย เลวเกว ข้าวต้มทำยังกับทำให้เป็ดกิน เขาเรียกข้าวต้มแผ่น เด็กวชิราวุธทุกคนจะรู้เลย

- ประเภทใส่วิญญาณหมู
        อย่างนั้นแหละ คุณพ่อกลัวจะใช้ตังค์เปลือง ก็ให้ตังค์น้อย ผมนี่เมื่อเด็กๆ ผอม พอแก่ๆ เราอุดมสมบูรณ์เหลือเกิน แต่กินมากไม่ได้ เพราะต้องระวังเรื่องไขมันในเส้นเลือด มันกลับกัน

- ในเรื่องงาน อาจารย์เคยให้สัมภาษณ์ว่าเป็นแค่ช่างเขียน
        เดี๋ยวนี้ไม่เรียกช่างเขียนแล้ว เพราะมีคนเอาอย่าง (หัวเราะ) เมื่อก่อนนี้ใครๆ ก็บอกว่า ตัวเองเป็นศิลปิน ผมบอกว่า ฉันไม่เป็น ฉันเป็นช่างเขียน เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็มาเป็นช่างเขียนกันหมด ผมไม่เป็นแล้ว ผมจะเป็นศิลปิน (หัวเราะ) เพราะทำได้หลายอย่าง เป็นนักเขียนเรื่องด้วย เชิดหุ่นด้วย ไม่ใช่เป็นแค่ช่างเขียน... เอ้าจริงๆ

- เขามาอย่างนี้ เราก็ไปอีกอย่าง
        ไม่เอาแล้ว เดี๋ยวนี้ใครก็บอกตัวเองเป็นช่างเขียน โอ๊ย ไม่เอาแล้ว ไปไปมามาคนจะมาหาว่าผมเป็นคนตั้งสกุลช่าง ผมบอกผมไม่ได้ตั้ง คือเมื่อก่อนทุกคนเซ็นชื่อเป็นภาษาอังกฤษ ผมเซ็นชื่อเป็นภาษาไทย ไอ้วันที่ เดือน ปี บางทีผมก็เซ็นเป็นเลขไทยบางทีก็เป็นเลขฝรั่ง แต่ยี่สิบปีหลังนี่ ผมจะเซ็นเป็นภาษาไทยทั้งหมด เชื่อไหม เด็กรุ่นหลังเซ็นภาษาไทยหมด เหมือนผมเปี๊ยบ บางทีลายเซ็นก็ยังคล้ายผม ประเภทตามรอยผม แล้วคนก็มาล้อผมว่า จักรพันธุ์ไปย้อมสมองเค้า ผมบอกเปล่าเลย เป็นการเผยแผ่บารมี (หัวเราะ)

- เรียกว่าสกุลช่างอะไร
        สกุลช่างบ้าบออะไรก็ไม่รู้

- สไตล์การเขียนรูปที่เป็นของอาจารย์ อะไรหล่อหลอมให้ออกมาเป็นแบบนี้
        ไม่ทราบเหมือนกัน มันก็หล่อมาอย่างนี้

- จะไปบอกว่าเหมือนฝรั่งเหมือนอะไรมันก็ไม่ได้มัน...
        คือผมชอบศิลปินช่างเขียนฝรั่งตั้งหลายคน ไม่รู้จะบอกว่าชอบคนไหนมาก ก็ชอบหลายๆ คนรวมกันน่ะ เพราะฉะนั้นก็ไม่รู้จะบอกว่า เราไปหลอมใครมาเจือในงานของเรา

- เป็นการแอ๊พพลายมาใช้ในงาน
        จะเรียกแอ๊พพลายไม่ได้ เหมือนกับแอ๊บสอร์บมากกว่า เราไม่ได้มาประยุกต์ ไม่ได้ดัดแง่แปรผัน ผมชอบตั้งหลายคน ทั้งไทยทั้งเทศ รุ่นพี่รุ่นเพ่อ ชอบชิ้นนี้อาจไม่ชอบอีกชิ้นหนึ่ง ผมไม่ได้ชอบเป็นคน เลยไม่รู้จะบอกว่ามันหล่อหลอมอย่างไร คงจะเหมือนหลอมพระมั้ง ใช้แร่ธาตุวัสดุหลายอย่างจึงจขะออกมาเป็นองค์พระ คงไม่ได้ใช้ทองคำอย่างเดียวหรอก

- จะสร้างงานสักชิ้นต้องมีอารมณ์ไหม
        บางครั้งมันต้องฝืนเหมือนกันนะ ทำตามอารมณ์อยู่เสมอมันคงไม่ได้ บางทีมันก็ต้องฝืนบ้าง... เหมือนอย่างเรา ไม่อยากไปงานศพอย่างนี้ แต่พ่อเพื่อนตาย เราก็ต้องฝืนไป ไม่ใช่ฝืนซังกะตายหน้างอไปนะ ผมทำไม่เป็น เมื่อฝืนแล้วก็ไปอย่างเต็มใจ ทำดีที่สุดในช่วงนั้น

- ฝืนกับอยากทำนี่ งานออกมาต่างกันมากไหม
        ฝืนอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ อย่าไปถามผลนะฮะ พูดถึงความสนุกสนานเวลาทำนี่ อะไรที่เราอยากทำแล้วได้ทำ มันย่อมสนุกกว่า แต่ผลนี่บอกไม่ได้เลย ว่าอะไรมันจะออกมาดีกว่ากัน

- กับงานแต่ละชิ้น อาจารย์มีมาตรฐานว่าต้องอย่างนี้ อย่างนี้ไหม
        มีมาตรฐานว่าต้องทำให้ดีที่สุด ถ้ารับทำแล้วผมจะทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะออกมาเลวอย่างไรก็ไม่ใช่เพราะเราหย่อนฝีมือหรอก เพราะเราทำได้แค่นั้น

- คิดว่าตัวเองใช้ชีวิตคุ้มค่าไหม
        ก็คุ้ม ผมไม่รู้สึกว่าไม่คุ้มในแง่ไหน ถ้าจะพูดกันอย่างทางโลก เค้าไปโน่นไปนี่ทำอะไรต่างๆ ผมไม่เคยสัมผัส ขนาดอายุจะ 50 แล้ว เทียบกับคนอื่นอาจจะว่าผมไม่คุ้ม แต่ผมไม่รู้สึกอย่างนั้น ถ้าเป็นทางโลกอาจจะแหม... ทำไมไม่ไปล่ะฮ่องกงเพื่อช็อปปิ้ง ไม่เอา ไม่อยากไป ไม่รู้สึกว่าไปแล้วเราคุ้ม
        เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ ผมรู้สึกว่าผมคุ้ม... คุ้มนะ อยากทำอะไรก็ได้ทำแล้ว ได้เขียนรูป ได้เขียนหนังสือ ได้เล่นหุ่น ได้ทำตุ๊กตาหรืออะไรอย่างนี้นะฮะ ไอ้สิ่งที่คนอื่นเค้าคิดว่าผมควรจะทำ แต่ผมไม่อยาก ผมก็ไม่ทำ จะว่าไม่คุ้มไม่ได้